Banner
เมื่อพระพุทธศาสนาถูกบิดเบือน เราควรช่วยกันประคับประคอง นำคำสอนของพระศาสดามาปฏิบัติตาม

กฏอิทัปปัจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท.

อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ย่อมมี
อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี
อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป.

พระอรหันต์ รังเกียจคนพาล


พระอรหันต์ รังเกียจคนพาล

คนพาล....
...คนทุศีล หรือผู้มีศีลทะลุ ขาดวิ่น ไม่ยึดมั่นในศีล
...ผู้ที่เห็นศีลไม่จำเป็นสำหรับชีวิต เห็นว่าศีลไม่สำคัญ
...ผู้ที่เห็นวัตถุสำคัญกว่าชีวิต และคุณธรรม
...ผู้ไม่เชื่อในคำสอนของศาสดาตน
...คนเห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี

ดังเช่นพระจักขุบาล ผู้เป็นอรหันต์(สุกขวิปัสสโก) ผู้ตาบอด ได้ขัดไล่สามเณรผู้เป็นหลาน เพราะผิดศีล ทั้งที่อยู่กลางป่า โดยยอมลำบาก หรือ ตาย ดีกว่าอยู่ไกลคนพาล

ท่านได้กล่าวกับสามเณรหลานว่า
" ผู้มีอายุ คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณะชั่วก็ดี ก็ชั่วทั้งนั้น;
เธอแม้ตั้งอยู่ในความเป็นสมณะแล้ว ไม่อาจเพื่อทำคุณเพียงแต่ศีลให้บริบูรณ์ เป็นคฤหัสถ์ จักทำความดีงามชื่ออะไรได้, ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี."

ดั่งคาถาของท่าน
"เอาเถิด, เราเป็นผู้มีจักษุอันเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร นอนอยู่ (ก็ช่าง) จะไม่ไป,เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี.
เอาเถิด เราเป็นผู้มีจักษุเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร จักตายเสีย จักไม่ไป, เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี."


"สามเณรถึงศีลวิบัติเพราะเสียงหญิง
สามเณรพาพระเถระด้วยปลายไม้เท้าไปอยู่ ถึงบ้านที่พระเถระเคยอาศัยเมืองชื่อสังกัฏฐะ อยู่แล้วในคงระหว่างทาง. เธอได้ยินเสียงขับของหญิงคนหนึ่ง ผู้ออกจากบ้านนั้นแล้ว ขับพลางเที่ยวเก็บฟืนพลางอยู่ในป่า ถือนิมิตในเสียงแล้ว. จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่เหมือนเสียงหญิงนะภิกษุทั้งหลาย."
สามเณรถือนิมิตในเสียงนั้นแล้ว ปล่อยปลายไม้เท้าเสียแล้วกล่าวว่า "ท่านขอรับ ขอท่านรออยู่ก่อน, กิจของกระผมมี" ดังนี้แล้วไปสู่สำนักของหญิงนั้น. นางเห็นเธอแล้วได้หยุดนิ่ง. เธอถึงศีลวิบัติกับนางแล้ว. พระเถระคิดว่า "เราได้ยินเสียงขับอันหนึ่งแล้วเดี๋ยวนี้เอง,ก็แล เสียงนั้นคงเป็นเสียงหญิง ถึงสามเณรก็ชักช้าอยู่, เธอจักถึงศีลวิบัติเสียแน่แล้ว." ฝ่ายสามเณรนั้น ทำกิจของตนสำเร็จแล้วมาพูดว่า "เราทั้งหลายไปกันเถิด ขอรับ. ขณะนั้น พระเถระถามเธอว่า "สามเณร เธอกลายเป็นคนชั่วเสียแล้วหรือ ? เธอนิ่งเสีย แม้พระเถระถามซ้ำก็ไม่พูดอะไร ๆ.

พระเถระไม่ยอมให้สามเณรคบ

ลำดับนั้น พระเถระกล่าวกะเธอว่า " ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี." เธอถึงซึ่งความสังเวชแล้ว เปลื้องผ้ากาสายะเสียแล้ว นุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์พูดว่า
"ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนกระผมเป็นสามเณร แต่เดี๋ยวนี้กระผมกลับเป็นคฤหัสถ์แล้ว. อนึ่ง กระผมเมื่อบวชก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธา บวชเพราะกลัวแต่อันตรายในหนทางขอท่านมาไปด้วยกันเถิด."
พระเถระพูดว่า
" ผู้มีอายุ คฤหัสถ์ชั่วก็ดี สมณะชั่วก็ดี ก็ชั่วทั้งนั้น;
เธอแม้ตั้งอยู่ในความเป็นมณะแล้ว ไม่อาจเพื่อทำคุณเพียงแต่ศีลให้บริบูรณ์ เป็นคฤหัสถ์ จักทำความดีงามชื่ออะไรได้, ธุระด้วยการที่คนชั่วเช่นเธอจับปลายไม้เท้าของเรา ไม่ต้องมี."
นายปาลิตะตอบว่า "ท่านผู้เจริญ หนทางมีอมนุษย์ชุมและท่านก็เสียจักษุ จักอยู่ในที่นี้อย่างไรได้."
ลำดับนั้น พระเถระ กล่าวกะเขาว่า "ผู้มีอายุ เธออย่าได้คิดอย่างนั้นเลย, เราจะนอนตายอยู่ ณ ที่นี้ก็ดี จะนอนพลิกกลับไปกลับมา ณ ที่นี้ก็ดี ขึ้นชื่อว่าการไปกับเธอย่อมไม่มี" (ครั้นว่าอย่างนี้แล้ว) ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

"เอาเถิด, เราเป็นผู้มีจักษุอันเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร นอนอยู่ (ก็ช่าง) จะไม่ไป,เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี.
เอาเถิด เราเป็นผู้มีจักษุเสียแล้ว มาสู่ทางไกลอันกันดาร จักตายเสีย จักไม่ไป, เพราะความเป็นสหายในชนพาลย่อมไม่มี."

นายปาลิตะ ได้ยินคำนั้นแล้ว เกิดความสังเวช นึกว่า "เราทำกรรมหนัก เป็นไปโดยด่วน ไม่สมควรหนอ" ดังนี้แล้ว กอดแขนคร่ำครวญ แล่นเข้าราวป่า ได้หลีกไปด้วยประการนั้นแล."

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย
คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑
SHARE

Chumpen

  • Image
  • Image
  • Image
  • Image
  • Image
    Blogger Comment

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Recent Posts Widget