Banner
เมื่อพระพุทธศาสนาถูกบิดเบือน เราควรช่วยกันประคับประคอง นำคำสอนของพระศาสดามาปฏิบัติตาม

กฏอิทัปปัจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท.

อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ย่อมมี
อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เมื่อสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี
อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺฌติ เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป.

เนื่องเพราะเงินและอำนาจ ปิดหู ปิดตา จนมืดบอด กรณีวัดธรรมกาย (โดย Pat Hemasuk )


เนื่องเพราะเงินและอำนาจ ปิดหู ปิดตา จนมืดบอด...!
กรณีวัดธรรมกาย
(โดย Pat Hemasuk )

.....คืนนี้ผมนั่งอ่านเรื่องกรณีวัดธรรมกายที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ประยุทธ์ ปยุตฺโต ได้เขียนเอาไว้อีกรอบเพื่อเก็บรายละเอียดในข้ออธิกรณ์ แล้วคิดถึงสมเด็จอุปัชฌายาจารย์ของผม สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงครามเมื่อครั้งยังเป็นคณะใหญ่หนกลาง สมเด็จท่านมีความเที่ยงตรง ผิดก็ว่าผิดถูกก็ว่าถูก ไม่เอนเอียงตามเสียงของมหาเถรรูปอื่นทั้งสิ้น สิ่งที่ผมคิดถึงคือเมื่อย้อนหลังไปเมื่อ 14 ปีก่อนที่สมเด็จท่านต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกรณีธรรมกาย เวลานั้นผมก็ยังวิ่งเข้าวิ่งออกวัดชนะสงครามอยู่ไม่ต่างกับเวลานี้ แม้ผมจะยุ่งอย่างไรก็ต้องพาพ่อของผมเข้าวัดชนะอยู่ดีเมื่อท่านออกปาก เพราะท่านจะเข้าไปคุยเฮฮากับท่านเจ้าคุณสองสามรูปที่เป็นเพื่อนสมัยบวชด้วยกันตอนวัยหนุ่ม แล้วก็ต้องไปกราบสมเด็จพระมหาธีราจารย์ที่เมตตาทุกคนในบ้านของผมตั้งแต่ทวดลงมาตั้งแต่สมัยที่สมเด็จท่านเป็นพระมหาเปรียญหนุ่มยังไม่เป็นท่านเจ้าคุณ

.....เรื่องนี้ขึ้นมายุ่งกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ตรงที่มีคดีธรรมกายที่โดนโยนขึ้นมาจนถึงมือของสมเด็จท่านแบบที่ท่านก็คาดไม่ถึง โดยที่ทั้ง เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ต่างก็เอนเอียงเข้าข้างธรรมกายไม่รับคดีขึ้นฟ้อง และดึงเรื่องแบบสุดความสามารถ จนรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาที่ดูแลกรมศาสนาในเวลานั้นก็รวบรัดว่าเรื่องนี้ต้องถึงมหาเถรสมาคมเสียแล้ว และต่อมาเรื่องนี้ก็ตกลงมาถึงมือสมเด็จอุปัชฌายาจารย์ของผมจนได้

.....เรื่องนี้ผมจะปูพื้นเรื่องก่อน เพื่อให้คนไม่รู้ได้รู้ เพราะในอนาคตถ้าหมดคนรุ่นผมไปแล้วหลักฐานปฐมภูมิจะหมดไป ต่อไปคนรุ่นหลังต้องไปอ่านจากคนที่ตายแล้วเขียนให้อ่าน ในเวลานั้นมีคดีฟ้องของ คุณมานพ พลไพรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา และคุณสมพร เทพสิทธา ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ได้ฟ้อง พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และพระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในคดีละเมิดพระธรรมวินัย และละเมิดจริยาพระสังฆาธิการ ซึ่คดีนั้นมีการใช้เท็กนิกลากเรื่องดองเรื่องอย่างสุดฝีมือจากทางวัดพระธรรมกาย เริ่มจากเจ้าคณะปกครองมีอำนาจในการพิจารณาได้ปัดสำนวนฟ้องทิ้งไปด้วยเหตุที่ว่าผู้ฟ้องไม่ได้กรอกแบบฟอร์มช่องหนึ่งที่แจ้งว่าตัวเองว่าศาสนาอะไร

.....เวลานั้น เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ต่างก็โดนสังคมโห่ฮาป่าในมุขอรหันต์โอ่งในนิทานแบบสุดๆ คุณมานพ นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญกรมการศาสนา เขียนหนังสือ หลักการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ให้พระสงฆ์ได้เล่าเรียน และคุณสมพร ก็เป็น ประธานยุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ แต่ทั้ง เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค ก็เล่นทริกดึงเรื่องและปัดคดีให้ตกด้วยการแจ้งว่า โจทย์ทั้งสองไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชน จะมาฟ้องพระไม่ได้ จนทั้งสองท่านต้องเอาหลักฐานว่าเคยบวชเรียนมาแล้วมาแสดงว่าเป็นพุทธแท้ๆ ถึงจะยอมเดินเรื่องต่อให้

.....พอเรื่องเดินต่อไปก็มีทริกอีกมุขหนึ่งขึ้นมาว่าโจทย์ทั้งสองเป็นฆารวาสจะมาฟ้องพระไม่ได้ เจ้าคณะจังหวัดก็ไม่รับพิจารณาเรื่องนี้ โจทย์ไม่มีทางเลือกเลยไปฟ้องต่อเจ้าคณะภาคเสียเลย แต่เจ้าคณะภาคตัดสินว่าฆราวาสไม่มีสิทธิ์ฟ้องเหมือนกันจนเรื่องถึงรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาทำเรื่องให้มหาเถรสมาคมพิจารณาเสียเลย คราวนี้มหาเถรสมาคมบอกว่าทำไมจะฟ้องไม่ได้ "อย่างนี้จะพระเหี้ยอย่างไรชาวบ้านก็ต้องทนหรืออย่างไร" คำนี้ผมเอามาจากท่านสมเด็จพระมหาธีราจารย์ นั่งตบเข่าเล่าให้พ่อผมฟังเมื่อ 14ปีที่แล้วแล้วผมนั่งอยู่ด้วยได้แต่อมยิ้มอยู่ข้างเสากุฎิ ตามปกติสมเด็จท่านท่านจะพูดจาระวังคำพูด แต่กับคนใกล้ชิดแบบพ่อของผมท่านปลดเบรคพูดแบบสบายปากได้
.....พอมหาเถรสมาคมมีมติว่าฆราวาสฟ้องได้ แล้วสั่งการให้เจ้าคณะภาคสั่งการให้เจ้าคณะจังหวัดรับฟ้องตามขั้นตอน แต่เจ้าคณะจังหวัดก็แจ้งไปยังเจ้าคณะภาคว่ามติของเจ้าคณะภาคที่ว่าฆราวาสฟ้องไม่ได้ มันมีมาก่อนมติมหาเถรสมาคม จะยังถือมติเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็รู้ว่าทั้งเจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดเตะบอลดึงเกมส์แบบรู้กันทั้งคู่นั่นแหละ ทางกระทรวงศึกษาเลยต้องเอาเรื่องเข้ามหาเถระใหม่อีกรอบว่าเจ้าคณะทั้งสองไม่ทำตามมติมหาเถรสมาคมสั่งการ เรื่องเลย ทางมหาเถรสมาคเลยสั่งการไปยังเจ้าคณะภาคอีกรอบ คราวนี้เจ้าคณะภาคบอกว่าจะรีบทำตามมติเร่งรัดคดี แต่ก็ดึงเรื่องไปเรื่อยๆอีกรอบจนมหาเถรฯ แต่งตั้งให้ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม เจ้าคณะหนใหญ่กลาง เข้ามากำกับดูแลด้วย โดยสมเด็จท่านให้ส่งรายงานมาทั้งหมด แต่ทางเจ้าคณะภาคก็ดึงเรื่องขอเวลาเขียนอีกเป็นเดือนๆ แล้วส่งมาแบบเขียนใส่ตั๋วรถเมล์สั้นๆ เท่านั้น คราวนี้สมเด็จท่านด่าเปิงกลับไปเพราะนิสัยของท่านตรงเป็นไม้บรรทัด แล้วสั่งให้ส่งรายงานแบบเต็มยศมาโดยด่วน พอรายงานมาถึงมือสมเด็จท่านก็บอกว่าแบบนี้ชัดเจนว่าเจ้าคณะภาคขัดคำสั่งมหาเถรสมาคมแบบชัดเจนท่านจะว่าอย่างไร

.....เรื่องนี้ผมขออ้างคำพูดของท่านอาจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ท่านบอกว่าเจ้าคณะภาคพูดกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ว่าตกนรกทั้งเป็น โดยเขียนว่า "ถ้าอย่างนั้นผมก็ตกนรกทั้งเป็น ตกนรกทั้งเป็นหมายความว่าอย่างไร คือไปรับเงินเขา เอ๊ย! รับลาภสักการะเขามาแล้ว ถ้ามาเปลี่ยนมติเสียเดี๋ยวก็จะมาตกนรกหรืออย่างไร อันนี้ก็ไม่ทราบนะฮะ ถ้าพูดอย่างนั้น" ท่านอาจารย์เสถียรพงษ์ เขียนว่าเจ้าคณะภาคพูดกับสมเด็จแบบนี้ สมเด็จท่านก็ไม่ยอมอะไรผิดว่าผิด อะไรถูกว่าถูก นิคหกรรมฆราวาสฟ้องได้อยู่แล้วไม่มีข้อห้ามอะไรสักอย่างตามที่อ้างปัดให้คดีตกกันเลยสักอย่าง

.....คราวนี้เจ้าคณภาคและเจ้าคณะจังหวัดวิ่งไปพึงบารมีของสมเด็จวัดสะเกศให้มาเป็นตัวช่วยเพราะอย่างที่รู้กันว่าวัดสะเกศแบ็กอัพสายนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยสมเด็จวัดสะเกศบอกว่าต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความว่าฟ้องได้หรือไม่ แต่สมเด็จวัดชนะท่านก็ซัดเข้าไปดอกใหญ่ในที่ประชุมมหาเถระแบบไม่ไว้หน้าว่า เรื่องของพระส่งไปให้บ้านเมืองพิจารณาได้อย่างไร เคยส่งไปแล้วก็โดนตีกลับมาทุกครั้งว่าเรื่องของพระก็ให้มหาเถรฯจัดการกันเอง คนนอกวัดไม่อยากยุ่งด้วยเพราะเรื่องแบบนี้มันมีพระวินัยมากำกับด้วย คนไม่ใช่พระจะมาชี้เรื่องพระวินัยได้อย่างไร

.....เรื่องนี้สมเด็จวัดสะเกศเจออัดเข้าจังๆกลางที่ประชุมมหาเถรสมาคมถึงกับถอยกรูด ไม่แบ็กอัพวัดธรรมกายให้ตามที่คาดกันเอาไว้ เพราะรู้ว่าสมเด็จวัดชนะสงครามตรงเป็นไม้บรรทัดและไม่เคยมีเรื่องให้ใครขุดมานินทาให้เป็นจุดอ่อนได้ และดันเรื่องเข้ามหาเถรสมาคมทันที แต่ก็โดนดึงเรื่องต่อไปอีกหลังจากฝั่งสนับสนุนวัดธรรมกายเริ่มตั้งขบวนกันติดและมีการล็อปบี้กรรมการบางรูปของมหาเถรสมาคมกันสำเร็จ โดยให้เลื่อนการพิจารณาออกไป โดยอ้างว่ากรรมการฯ บางรูปอ่านเอกสารไม่จบ เรื่องก็ดึงกันไปเรื่อยๆ อีกนานข้ามปี

.....จนในที่สุดสมเด็จพระสังฆราชทรงทนไม่ไหว ได้มีพระลิขิตออกมาว่า“การโกงสมบัติผู้อื่น ตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป คือประมาณไม่ถึง ๓๐๐ บาทในปัจจุบัน ภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ฐานผิดพระธรรมวินัย พ้นจากความเป็นพระทันที ในกรณีนี้ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ ไม่ว่าจะมีการสั่งให้สึก ไม่ว่าจะมีการจับสึก หรือไม่ก็ตาม ภิกษุผู้ละเมิดพระธรรมวินัยข้อนี้ ต้องอาบัติปาราชิก พ้นจากความเป็นพระโดยทันที” พอมีพระลิขิตออกมาเหมือนวงแตก มหาเถรฯ ให้ติดตามว่าวัดธรรมกายจะมีปฎิกิริยาอย่างไรกับพระลิขิต แต่วัดธรรมกายก็ยังเฉย

....."พระสังฆราชก็ได้ทรงออกพระลิขิตอีกฉบับเป็นฉบับที่สอง ได้ทรงลิขิตว่า “ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำทรงสอน โดยกล่าวว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือน แตกแยกออกไป กลายเป็นสอง มีความเข้าใจ ความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธ-ศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก ส่วนที่มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นการทำที่ถูกต้อง คือต้องมอบสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ทันที” แม้จะทรงออกพระลิขิตออกมาสองฉบับแล้วมหาเถรฯก็ยังเฉยๆ ไม่มีมติออกมา

.....ทรงทนไม่ไหวกับคณะกรรมการมหาเถรฯ มีพระลิขิตออกมาเป็นฉบับที่สามว่า “ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ ให้ ว่าในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาสมบัติ ของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไรก็ ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็น พระ ให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้ง ว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูก จัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำ ความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ใน พระพุทธศาสนา”

.....คราวนี้มีแรงกระเพื่อมจากอีกฝั่งที่เชียร์ธรรมกายอีกว่าเป็นพระลิขิตปลอม ทั้งที่สำนักงานเลขาพระสังฆราชก็ออกมายืนยันว่าทรงลิขิตไว้ตามนั้นจริง จึงทรงออกพระลิขิตอีกฉบับเป็นฉบับที่สี่ว่า “ในกรณีเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เราได้ทำหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชสมบูรณ์ตามอำนาจแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดอีกขณะนี้ ขออนุโมทนาทุกท่านที่สนใจห่วงใยพระพุทธศาสนา แสดงความเป็นคนดี ด้วยมีกตัญญูกตเวทิตาธรรม” ทันที่ที่ออกพระลิขิตฉบับสุดท้ายออกมา ถึงกับมีคำขู่จากกลุ่มสนับสนุนวัดธรรมกายในทางรุนแรงจนถึงขั้นปองร้ายพระสังฆราช จนที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งตำรวจมาอารักขาสมเด็จพระสังฆราช และเร่งให้ดำเนินทุกวิถีทางเพื่อสนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชโดยด่วน"

.....นามสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาในเวลานั้น ได้เข้ากราบนมัสการสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม แล้วแจ้งว่าเรื่องนี้จะนำคดีเข้าศาลในคดีอาญาทางโลก และจะตั้งพระให้เป็นโจทย์ในคดีกฏนิคหกรรมส่งให้ดำเนินการทางสงฆ์ โดยเร่งให้ ธัมมชโย โอนที่ดินและทรัพย์ส่วนนี้กลับเข้าวัด แต่ก็ได้รับคำตอบจากวัดธรรมกายว่าให้การพิจารณาของมหาเถรสมาคมจบก่อนว่าผิดจริงถึงจะโอนให้ และต่อมามหาเถรสมาคมก็เตะถ่วงเอาเรื่องอื่นๆเข้าประชุมแทนที่จะรีบพิจารณาเรื่องที่ นายมาณพ พลไพรินทร์ และนายสมพร เทพสิทธา ฟ้องในคดีกฏนิคหกรรม คราวนี้ประชาชนออกมาต่อต้านมหาเถรฯกันทุกภาคส่วนสนับสนุนพระลิขิตของพระสังฆราชและกดดันให้มหาเถรสมาคมออกมาดำเนินการจัดการวัดธรรมกายตามพระลิขิต

.....ในขั้นสอบสวนทางโลก ธัมมชโย เข้ามอบตัวและประกันตัวไป ส่วนมหาเถรฯยังเตะถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ จนตำรวจได้ส่งสำนวนฟ้องให้อัยการดำเนินการต่อ และต่อมาสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ได้กดดันกลางที่ประชุมมหาเถรสมาคม และได้สั่งให้เจ้าคณะภาคสั่งให้อายัดเงินฝากของวัดธรรมกาย แต่ทางวัดธรรมกายสู้และแจ้งว่าอธิกรณ์ถึงที่สุดตามที่เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัดไม่รับฟ้องเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว จึงไม่ทำตามที่ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ สั่งการลงมาถึงเจ้าคณะภาคทุกประการ และเพื่อลดความกดดัน ธัมมชโย ได้ลาออกจากเจ้าอาวาสแล้วให้ ทัตตชีโว ขึ้นแทน แล้วก็ใช้วิธีดึงคดีไปเรื่อยๆโดยแจ้งว่าป่วย จนกระทั่งหาทางออกได้แบบไม่เจ็บตัวโดยโอนที่ดินและทรัพย์สินกลับคืนวัดแล้วอัยการสั่งไม่ฟ้องโดยให้เหตุผลว่า "สำหรับในด้านทรัพย์สินนั้น ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดินและเงินจำนวน 959 ล้านบาทคืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราชครบถ้วนทุกประการแล้วอัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ถอนฟ้องคดีนี้" และมหาเถรสมาคมก็ถือโอกาสทองรีบปิดคดีเช่นกันโดยไม่สอบสวนคดีกฏนิคหกรรมต่อเหมือนทุกอย่างรีเซตตัวเองจบไปแล้ว โดยไม่คำนึงถึงพระลิขิตที่ทรงพิจารณาให้ ธัมมชโย สิ้นสภาพความเป็นพระไปก่อนหน้านั้น

.....คืนนี้ผมเขียนอะไรยาวมาก แต่อยากจะเขียนเรื่องให้อ่านกันว่าทั้งสองปูชนียาจารย์ของผม สมเด็จญาณสังวร พระสังฆราชเจ้า วัดบวร ที่ทรงเมตตาสั่งสอนผมยังเด็กจนวัยรุ่น และ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ที่เป็นอุปัชฌายาจารย์ของผม ได้ต่อสู้เพื่อพระศาสนาอย่างไรในกรณีคดีธรรมกาย

CR: ขงเบ้ง ดูดาว
SHARE

Chumpen

  • Image
  • Image
  • Image
  • Image
  • Image
    Blogger Comment

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Recent Posts Widget